ผลไม้ประจำภาคอีสาน

ผลไม้ประจำาคอีสาน

ผล...บักค้อ ลูกค้อ ลูกตะคร้อ เปรี้ยวแซ่บอุดมวิตามินซี...
บักค้อ เป็นชื่อเรียกภาษาอีสานของ ลูกตะคร้อ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ยังมีอีกหลายชื่อที่ใช้เรียก เช่น กาซ้อง คอส้ม มะเคาะ กาซ้อ ตะค้อ หมากค้อ เป็นต้น ต้นตะคร้อสามารถพบเห็นได้ในแทบทุกภาคของประเทศไทย เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่สูงประมาณ 15-25 เมตรเลยทีเดียว และแน่นอนว่าผลของบักค้อหรือตะคร้อนั้นสามารถเอามากินได้ด้วย
ผลบักค้อ (ผลตะคร้อ) มีรูปร่างกลมคล้ายลำไย สีเปลือกเขียวอมน้ำตาล เปลือกหนา ผิวเกลี้ยง ข้างในมีเมล็ด 1-2 เมล็ด เนื้อในสีเหลืองใส ฉ่ำน้ำ และมีรสชาติเปรี้ยว บักค้อจะออกผลมากในช่วงเดือนมีนาคม – กรกฎาคม นิยมนำมาทำยำบักค้อ โอ่ย...น้ำสายสอ! หรือจะคั้นเอาน้ำไปใช้เป็นส่วนผสมของน้ำยำ,น้ำจิ้มซีฟู้ดแทนน้ำมะนาวก็แซ่บอีหลีใช่ย่อย
บักค้อ (ตะคร้อ) เป็นผลไม้ป่ารสเปรี้ยว จึงอุดมด้วยวิตามินซี แคลเซียม ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง มีส่วนช่วยสร้างคอลลาเจน, เนื้อเยื่อเอ็นและกระดูกอ่อน มีสารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีกรดอินทรีย์หลายชนิดที่เป็นประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรมความงาม ถูกใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหนัง ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์ผิว ไม่เพียงแต่กินดีต่อร่างกาย ยังช่วยในเรื่องผิวพรรณความงามได้อีกแน่ะ รสชาติเปรี้ยวฝาดของบักค้อ (ตะคร้อ) เหมาะที่จะนำมาทำเป็นเครื่องดื่มดับกระหาย ดื่มแล้วสดชื่นสร้างความกระปรี้กระเปร่า แต่การดื่มหรือกินบักค้อเยอะเกินไปก็อาจทำให้ท้องเสียได้ เพราะบักค้อมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนด้วย

มะหาดเป็นยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ลำต้นตั้งตรง ความสูง 15-20 เมตร เปลือกสีน้ำตาลไหม้เป็นลายแตกละเอียด มีส่วนยอดเป็นพุ่มหนาและทึบ ใบเป็นใบเดี่ยว ขนาดวงรีจนถึงรูปไข่ กว้าง 5-20 เซนติเมตร ยาว 10-30 เซนติเมตร ที่ขอบใบมีริวขึ้นโดยรอบ มีขนขึ้นทั้ง 2 ด้านของใบ ดอกจะออกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน และกลายเป็นผลในเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ลักษณะดอกจะมีสีขาวอมเหลืองมีขนาดเล็ก ผลเป็นผลรวมมีสีเขียวเมื่อสุกจะมีสีเหลือง รัศมีจากจุดศูนย์กลางยาว 2.5-5 เซนติเมตร รูปร่างกลมแป้นใหญ่ มีทรงบิ้วเบี้ยวเป็นบางลูก เปลือกนอกผิวขรุขระ เนื้อผลค่อนข้างนุ่ม แต่ละผลย่อยมีเมล็ด 1 เมล็ด รูปทรงรี
การปลูกต้นมะหาดก่อนที่จะปลูกต้นไม่ลงไปต้องฆ่าเชื้อราในดินและเพิ่มสารอาหารในดินก่อนเริ่มปลูก โดยขุดหลุมกว้าง 1 เมตร ยาว 1 เมตร แล้วตากดินไว้นาน 1–2 สัปดาห์ จากนั้นใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ที่สลายตัวดีแล้วรองก้นหลุม นำต้นกล้าลงปลูกกลบดินให้แน่นระยะเริ่มปลูกควรรดน้ำทุกวันถ้าฝนไม่ตกและต้นกล้ายังตั้งตัวไม่ได้ ควรใช้ไม้หลักปักยึดกับลำต้นกันโยกและทำที่บังแสงแดดด้วย นอกจากนี้เมื่อต้นโตขึ้นควรกำจัดวัชพืชรอบ ๆ โคนต้นเป็นบางครั้ง
หวาย เป็นพืชที่อยู่ในเผ่าหวาย (Calameae) พบทั่วไปในเขตร้อนของทวีปแอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสตรเลเชีย ทั่วโลกมีหวายเกือบ 600 ชนิด เฉพาะในประเทศไทย มีหวายเกือบ 60 ชนิด เช่น หวายโคก หวายดง หวายน้ำผึ้ง เป็นต้น
ลักษณะโดยทั่วไปของหวายเป็นพันธุ์ไม้เลื้อยหรือไม้รอเลื้อยตระกูลปาล์ม ลำเถาชอบพันเกาะต้นไม้ใหญ่ มีกาบหุ้มต้น และมีหนามแหลม มีความเหนียว ใบเป็นรูปขนนกเล็กๆ ใบย่อยนั้นเรียวยาว มีสีเขียวสด ก้านใบหนึ่งๆ มีใบย่อยราว 60 - 80 คู่ ออกดอกเป็นช่อ สีขาวปนเหลือง ผลค่อนข้างกลม เปลือกเป็นเกล็ด ลูกอ่อนเปลือกสีเขียว เนื้อสีขาว ผลแก่เปลือกสีเหลือง เปลือกล่อน เนื้อแข็ง รสเปรี้ยวฝาด
หวายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของประเทศในเขตร้อน โดยเฉพาะประเทศไทย ในจังหวัดสกลนครและขอนเเก่น มีการปลูกหวายเชิงการค้า นิยมนำส่วนลำต้นที่สูงและมีความ ยืดหยุ่นมากเป็นพิเศษมาสานเป็นเฟอร์นิเจอร์ ลูกหวายอ่อนใช้กินเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกะเปลือกออกแล้วนำไปทำส้มตำหน่อหวายใช้ทำอาหาร เช่น แกงอ่อม ซุบหน่อหวาย ยำ ข้าวเกรียบและหวายทอดกรอบ หวายบางชนิดในผลมีเรซินสีแดงเรียกเลือดมังกร ซึ่งใช้เป็นยาในสมัยโบราณและใช้ย้อมสีไวโอลีน ในรััฐอัสสัม ประเทศอินเดีย ใช้หน่อหวายเป็นอาหารเช่นกัน
หมากสง (ชื่อวิทยาศาสตร์Areca catechu) หรือที่เรียกทั่วไปว่า "หมาก" (พืชที่เรียกว่า "หมาก" นั้น มีด้วยกันหลายชนิด นักพฤกษศาสตร์จึงเรียกหมากที่ใช้กินกับใบพลูว่า "หมากสง") เป็นพืชจำพวกปาล์ม เป็นชนิดหนึ่งในสกุล Arecaceae นับว่ามีความสำคัญมากทั้งในด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในหลายท้องถิ่น ในทวีปเอเชีย รวมทั้งประเทศไทยด้วย ส่วนสำคัญของพืชชนิดนี้ คือ เมล็ด ซึ่งมีสารจำพวก อัลคาลอยด์ (alkaloid) อันประกอบด้วย อาเรเคน (arecaine) และ อาเรโคลีน (arecoline) นิยมนำมาเคี้ยวกับหมากใบและใบพลู ซึ่งนับว่าเป็นสารเสพติดอย่างอ่อน หมากพบได้ในหลายประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ แถบมหาสมุทรแปซิฟิกในส่วนที่เป็นเขตร้อน และบางส่วนของทวีปแอฟริกา
ในภาษาอังกฤษ เรียกหมากว่า "Betel palm" หรือ "Betel nut" ทั้งๆ ที่ คำว่า " betel" แปลว่า พลู ที่เรียกเช่นนี้ เพราะชาวอังกฤษ (ในสมัยโบราณ) เห็นว่าหมากนิยมเคี้ยวกับพลูนั่นเอง


  แหล่งที่มา:Cr.Pic: https://medthai.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น